วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เรียน ป.โท ไปด้วย ทำงานไปด้วย มันจะไหวไหม (เรื่องของเงิน)

   สืบเนื่องจากกระทู้ Pantip (http://pantip.com/topic/34411135) ที่มีคนถามว่า

เรียน ป.โท และทำงานไปด้วยมันจะไหวไม่ครับ


   นั่นสิไหนจะต้องจ่ายค่าเทอมที่แพงกว่าภาคปกติ เพราะคนทำงานต้องเรียนภาคพิเศษอยู่แล้ว ในที่นี้ขอสมมติค่าเทอมรวมทั้งหมด 300,000 บาท (ซึ่งผมก็กำลังเรียนอยู่เหมือนกัน)

   สมมติเราทำงานเงินเดือน 15,000 บาท คิดว่าการเรียนอีก 2 ปีเราจะมีเงินจ่ายค่าเทอมไหวไหม เราลองมาคำนวณกันดูว่าเราจะต้องออมเดือนละเท่าไรถึงจะเพียงพอกันนะครับ

   เนื่องจากค่าเทอมไม่ได้จ่ายเหมาทีเดียว 300,000 บาท ซึ่งผมก็ขอสมมติจ่าย 2 ครั้งต่อปี โดยเรียน 2 ปี จึงจ่ายค่าเทอมทั้งหมด 4 ครั้ง ได้แก่
1 ม.ค. x1 จ่าย 75,000 บาท
1 มิ.ย. x1 จ่าย 75,000 บาท
1 ม.ค. x2 จ่าย 75,000 บาท
1 มิ.ย. x2 จ่าย 75,000 บาท
รวมค่าเทอม 300,000 บาท

  จากที่คำนวณเราต้องเก็บเงินเดือนละ 12,500 บาท ตายละ ! เหลือใช้เพียง 2,500 บาทต่อเดือนมันจะพอไหมเนี่ย ไหนบางคนมีค่าเช่าหอพัก ไหนจะค่ากินอีก ไหนจะค่าผ่อนโทรศัพท์อีก โอยเยอะแยะ จ่ายไม่ไหว ไม่เรียนดีกว่า !  แต่เดี๋ยว !! การวางแผนการเงินช่วยคุณได้นะ

   วิธีแก้ปัญหา คือ เลื่อนการเข้าเรียนโทไปก่อน โดยเราต้องเก็บเงินสัก 1 ก้อนก่อนครับ เช่น เลื่อนไปเรียนโทปีหน้า เพื่อเก็บเงินสำหรับค่าเทอมแรกก่อน ดังนั้นก่อนหน้าที่เราจะสมัครเรียน เราก็เก็บเงินก่อนเดือนละ 6,250 บาท 12 เดือนเท่ากับ 75,000 บาทสำหรับจ่ายค่าเทอมแรก

   ต่อมาพอเราเข้าเรียนแล้ว เหลือค่าเทอมต้องจ่ายอีก 3 เดือนถูกมั๊ย ? รวมเป็นเงิน 225,000 บาท แต่เรามีเวลาเก็บเงินทั้งหมด 24 เดือน ดังนั้นเราจะต้องเก็บเดือนละ 9,375 บาท ลดลงมาจาก 12,500 บาทเยอะเลยใช่ไหมละ แต่ก็ยังคงตึงอยู่เหมือนกัน

   ทางที่ดีผมแนะนำให้เก็บเงินก้อนสำหรับจ่ายสัก 2 เทอม จะทำให้ลดค่าใช้จ่ายลง โดยค่าเทอมที่เหลืออีก 2 เทอมที่เราจะต้องจ่ายเหลือเดือนละ  6,250 บาท ค่อนข่างจะพอดีแล้วเห็นมั๊ย ?

   ดังนั้นการวางแผนการเงินมีทางออกให้เราเสมอ ไม่ว่าเราจะทำสิ่งใดก็ตาม เปรียบเสมือนเวทย์มนต์ที่ทำให้เราทำสิ่งต่างๆได้ตามเป้าหมายได้เร็วยิ่งขึ้น


การคำนวณครั้งนี้อยู่บนพื้นฐานที่ยังไม่ได้รวม Bonus จากการทำงานที่สามารถนำมาจ่ายได้ / ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการเดือนทางไปเรียน

ขอบคุณที่สละเวลาอ่านนะครับ ^^

 

   





วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2559

มีเงินก้อนจะซื้อบ้านหรือซื้อรถก่อนดี ?


       คนทุกคนล้วนมีความฝันที่จะมีบ้านหลังใหญ่โต มีสนามหญ้าและสวนดอกไม้หน้าบ้าน อยากมีรถสปอร์ตขับอย่าง Mercedez Benz Audi Lamboghini หรือ Ferrari แต่ก็จนปัญญาที่จะซื้อ แล้วเราจะทำอย่างไรดีที่ความฝันของเราจำเป็นจริงเสียที ? เราจะเข้าไปเล่นการเมืองแล้วคอร์รัปชั่นดีมั๊ย ?(ไม่ดีแน่นอนใช่ม๊าาา...)

       ผมเคยถามรุ่นพี่คนหนึ่งซึ่งเขาเป็นคนกรุงเทพ ถ้าพี่มีเงิน 1 ล้านบาทพี่ว่าจะซื้อบ้านหรือรถก่อนดี พี่ก็ตอบกลับมาว่า ก็ต้องซื้อบ้านก่อนดิ ไม่งั้นจะมีที่จอดรถได้ยังไง คำตอบของพี่ทำผมอึ้งไปสักพัก แล้วก็กลับมาคิดว่ามันก็จริงแฮะ แต่ถ้าเรามีบ้านอยู่แล้วก็นับว่าคุณเป็นคนที่โชคดีมากๆคนหนึ่ง ที่พ่แม่ได้มอบมรดกอันแสนล้ำค่านี้ไว้ให้ คุณก็สามารถตัดสินใจซื้อรถได้เลย ไม่มีปัญหา ซึ่งลองถามว่าผู้คนในปัจจุบันอยากได้อะไรมากกว่ากัน ก็คงจะตอบว่าอยากได้รถก่อน ด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ เพราะไม่อยากไปใช้ขนส่งสาธารณะ มันไม่มีความส่วนตัว ไม่อยากต้องเบียดเสียดคนที่มาทำงานตอน 8.00น. ใน BTS หรือ MRT

       แต่เชื่อหรือไม่ว่าถ้าคุณไปซื้อรถด้วยความคิดที่ว่าอยากมีความส่วนตัว มันคงเป็นความคิดที่เอาแต่ใจเกินไปหน่อย คุณลองคำนวณค่าใช้จ่ายจากการใช้ขนส่งสาธารณะต่อวันกับใช้รถส่วนตัว คุณจะพบว่าการใช้รถส่วนตัวนั้นกินค่าใช้จ่ายของคนเรามากกว่ามาก แต่เพราะเราไม่ได้จ่ายในค่าใช้จ่ายเหล่านั้นทุกวัน เช่น ค่าน้ำมัน ค่าเสื่อมของรถ ค่าเปลี่ยนอะไหล่ มันจึงทำให้คนเราคิดว่าการใช้รถส่วนตัวนั้นประหยัดกว่า

       รถยนต์นั้นจะเสื่อมค่าลงทุกวัน โดยเฉลี่ยเราจะใช้รถได้อายุ 5-10 ปี แต่ถ้าเราซื้อบ้านก่อน จะพบว่าบ้านมีแต่ราคาจะเพิ่มขึ้นทุกวัน ด้วยการที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ประเภทหนึ่ง สาเหตุที่สำคัญที่ผมคิดว่ามันมีส่วนต่อราคาสินทรัพย์เหล่านี้ คือ การเจริญเติบโตของบ้านเมือง การขยายตัวของประชากร ยิ่งความเจริญแผ่ขยายมาจากเมืองใหญ่ๆ ราคาสินทรัพย์ทั้งในเมืองหรือตามชานเมืองก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ฉะนั้นการซื้อบ้านก่อนจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าแน่นอนครับ ซื้อบ้านในวันนี้ไม่แน่ว่าในอนาคต 20 ปีข้างหน้าราคาบ้านอาจจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าเลยก็ได้ กลายเป็นได้รับประโยชน์ 2 เด้งจากการที่ได้อยู่อาศัยในบ้าน กับ ผลประโยชน์เมื่อเราขายบ้านก็ได้ผลตอบแทนเท่าตัว

     


     

วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2558

วางแผนการลงทุนด้วย Excel

  บทความนี้มาต่อกันที่การวางแผนการลงทุนด้วย Excel กันบ้าง การลงทุนบนโลกนี้มีหลายแบบมาก ไม่ว่าจะเป็น หุ้น กองทุน เงินฝาก ตราสารหนี้ รวมไปถึงการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เช่น ที่ดิน คอนโด ซึ่งแต่ละรูปแบบก็จะมีผลตอบแทนแตกต่างกันไป ซึ่งเราค่อนข้างที่จะคาดการณ์ได้ยาก เพราะมันขึ้นอยู่กับสภาพภาวะเศรษฐกิจ บางปีอาจจะลงทุนหุ้นดี บางปีอาจจะอสังหาริมทรัพย์ดี เป็นต้น

   ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการลงทุนอะไรก็ตาม เราย่อมต้องการได้ผลตอบแทนสูงๆกันทุกคน แน่นอนว่าหากเราไม่อยากเสี่ยงเลย เราก็สามารถลงทุนไว้ในเงินฝาก ซึ่งปัจจุบัน ณ ปี 2558 นี้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ก็น้อยมากๆ (ต่ำกว่า 1%) หรือแม้จะเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำก็ยังไม่สามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้เช่นกัน (ต่ำกว่า 3%)

   ในปี 2559 เดือนสิงหาคม จะมีการปรับนโยบายคุ้มครองเงินฝากหากสถาบันการเงินล้ม จากเดิมจะคุ้มครองไม่เกิน 25 ล้านบาท เปลี่ยนแปลงเป็นคุ้มครองไม่เกิน 1 ล้านบาทเท่านั้น หากคุณฝากเกิน 1 ล้านบาท สถาบันการเงินที่ล้มจะต้องชำระในส่วนที่เหลือ ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวนเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2555

   มันจึงเกิดคำพูดที่ว่า "High Risk High Return" ขึ้นมา หรือแปลเป็นไทยว่า ยิ่งต้องการผลตอบแทนสูงคุณก็จะต้องเสี่ยงสูงเช่นกัน การลงทุนไม่ใช่การแสวงหาผลตอบแทนสูงสุด แต่มันคือการจัดการความเสี่ยงในการลงทุนอย่างไรให้ต่ำที่สุดมากกว่า บางคนอาจจะสงสัยว่าความเสี่ยงสูงนี่คือมันเสี่ยงยังไง จริงๆมันก็คือความเสี่ยงที่เงินต้นของเราหายไปจากการลงทุนที่ผิดพลาดนั่นเอง เช่น ลงทุนซื้อหุ้น A ในราคา 10 บาทจำนวน 10,000 หุ้น รวมเป็นเงิน 100,000 บาท ต่อมาหุ้น A ราคาลดต่ำลงเหลือ 8 บาท หากคุณยอมจำนนขายหุ้น A ทั้งหมด คุณก็จะเหลือเงินติดกระเป๋าเพียง 80,000 บาท

   ผมได้ทำ Excel มาแจกจ่ายอีกครั้ง โดยครั้งนี้เป็น Excel สำหรับวางแผนการลงทุนของเรา ซึ่งเรากรอกเพียงเงินต้นที่เราคาดว่าจะเริ่มลงทุนครั้งแรก และอัตราดอกเบี้ยทีต้องการแต่ละปี เพียงเท่านี้โปรแกรมก็จะคำนวณออกมาให้ว่าในอีก 10 หรือ 40 ปีข้างหน้าเราจะมีเงินเท่าไร

วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2558

วางแผนการออมด้วย Excel

   บทความนี้เรามาวางแผนการออมกัน เชื่อว่าหลายคนคงจะเป็นมนุษย์เงินเดือน พอวันเงินเดือนใกล้ออกจะขยันทำงานขึ้นมาทันที ยิ่งช่วงโบนัสจะออกนี่ มีไรเรียกใช้ได้เลย ฮ่าๆ ผมก็เป็นมนุษย์เงินเดือนเช่นกัน เพิ่งจบมาไม่นานเงินเดือนก็ถือว่าอยู่ในระดับที่รับได้

   หากใครเคยอ่านตาม Pantip ก็มักจะมีกระทู้ประมาณว่า "เงินเดือน ... บาท เก็บเงินเท่าไรดี" หรือ "เพื่อนๆเก็บเงินกี่ % ของรายได้กันหรอ" ซึ่งก็มีคนมาแสดงความเห็นมากมาย บางคนเก็บได้เยอะ บางคนเก็บได้น้อย ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ค่าครองชีพ ถ้าเป็นในเมืองเช่นกรุงเทพฯ ก็คงสูงหน่อย แต่ถ้าอยู่ต่างจังหวัดก็จะถูก ทำให้เก็บเงินได้เยอะขึ้น หรือบางคนอาจจะมีภาระผ่อนเยอะ เช่น ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ หักค่ากินค่าอยู่ ก็หมดพอดี ไม่ได้เก็บเงินเลย

   ดังนั้นวันนี้ Moneyexcelz จะมาชักชวนให้พวกเราออมเงินกันดีกว่า แม้ว่าเราจะเป็นเด็กจบใหม่ เริ่มมีเงินเดือนเป็นของตัวเอง ก็ควรเริ่มต้นออมเช่นกัน เพราะอิสรภาพทางการเงิน มีปัจจัยด้านเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เราลองมาดู Infographic จากเว็บ Kasikornbank เพื่อความเข้าใจกันดีกว่า


   จากภาพด้านบนเราก็จะเห็นได้ว่าหากเราเริ่มออมก่อน เราจะได้เปรียบกว่าคนเริ่มออมทีหลังแน่นอน เพราะมันมีตัวแปรที่สำคัญคือ ดอกเบี้ยทบต้น หรือ Compound Interest นั่นเอง หากใครสนใจเรื่องดอกเบี้ยทบต้น สามารถคลิกอ่านได้ตามลิงค์ด้านล่างเลยครับ


  ดังนั้นผมจึงทำ Excel มาแจกจ่ายให้พวกเรานำไปคำนวณกันว่าถ้าเราออมเงิน 10 ปี 20 ปี 30 ปี 40 ปี สุดท้ายเราจะมีเงินเท่าไร เพื่อเป็นการวางแผนว่าเราจะต้องเก็บออมต่อเดือนเท่าไรถึงจะเพียงพอต่อเป้าหมายเกษียนของเรา

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ผ่อนบ้านแบบโปะ ดีอย่างไร ?

 

   เชื่อว่าเราทุกคนล้วนฝันอยากจะมีบ้านหลังใหญ่สวยงาม มีพื้นที่กว้างๆสำหรับเดินเล่นกันทุกคน แต่กว่าเราจะเก็บเงินเพื่อซื้อบ้านได้นั้นย่อมต้องใช้เวลาอย่างมาก ซึ่งบางคนอาจจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อซื้อบ้านหลังเดียว ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากพื้นที่โลกของเรามีอยู่อย่างจำกัด แต่ประชากรบนโลกเริ่มทวีเพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ จึงเป็นเหตุให้เกิดความต้องการในทีอยู่อาศัยเพิ่มขึ้น และนี่จึงเป็นเหตุผลทำให้อสังหาริมทรัพย์ราคามีแต่จะเพิ่มขึ้นนั่นเอง

   ดังนั้นการกู้ซื้อบ้านก็อาจจะเป็นทางหนึ่งที่สามารถลดความเสี่ยงจากการเพิ่มขึ้นของราคาบ้านได้ เพราะราคาถูกกำหนดไว้ในปัจจุบันแล้ว เพียงแต่เราต้องเสียดอกเบี้ยให้กับธนาคารเท่านั้นเอง แล้วเราเคยรู้หรือไม่ว่ากว่าจะผ่อนบ้านเป็นสิบๆปีนั้น เราเสียดอกเบี้ยให้กับธนาคารไปเท่าไร และเราจ่ายเงินต้นไปเท่าไรบ้าง

   บางคนอาจจะคิดแบบห้วนๆเลยคือ เอาอัตราดอกเบี้ย x ราคาบ้าน นั่นคือดอกเบี้ยที่เราเสีย เช่น บ้านราคา 1 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 6% นั่นแปลว่าถ้าเรากู้ซื้อบ้านเราจะต้องเสียดอกเบี้ยให้ธนาคารทั้งหมด 60,000 บาท ซึ่งความจริงการคิดแบบนี้มันผิดอย่างมหันต์ !!

   เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารคิดนั้นเป็นอัตราดอกเบี้ยต่อปีเดียว แต่เราผ่อนตั้ง 30 ปี เราคิดแบบนั้นไม่ได้ ยกเว้นเสียแต่เราโปะจนหมดภายในปีเดียวได้ ดังนั้นสรุปถ้าเราเสียดอกเบี้ยปีละ 60,000 บาทแปลว่า 30 ปีเราต้องเสียดอกเบี้ยทั้งหมด 60,000 x 30 ปี = 1,800,000 บาท คิดแบบนี้มันก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ

   เพราะการผ่อนธนาคารมักจะคิดแบบลดต้นลดดอก นั่นคือที่เราเสียค่าผ่อนทุกเดือนนั้นจะเป็นเงินต้นส่วนหนึ่งและเป็นดอกเบี้ยส่วนหนึ่ง ซึ่งการกู้ปีแรกๆเราจะเสียดอกเบี้ยเยอะมาก (เพราะเงินต้นยังสูงอยู่) เรามาลองยกตัวอย่างกันดีกว่าเพื่อความเข้าใจ

สมมติเรากู้ซื้อบ้านราคา 2,000,000 บาท
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 6% ต่อปี
ระยะเวลากู้ 30 ปี

คำนวณออกมาแล้วเราจะต้องผ่อนเดือนละ 11,991 บาท
ลองคิดดูถ้าเราผ่อน 30 ปี เราจะต้องจ่ายเงินรวมทั้งสิ้น = 4,316,760 บาท

พระเจ้า ! ซื้อบ้านราคา 2 ล้านบาทได้อีก 1 หลังเลยนะเนี่ย
นั่นก็เพราะยิ่งผ่อนนานมันก็เหมือนยืดระยะเวลาหนี้ออกไปอีก
ดังนั้นเราจะหลีกเลี่ยงมันยังไงล่ะ ?

คำตอบก็คือ การโปะ ยังไงล่ะ !!!

โหยพี่ ลำพังค่าผ่อนแต่ละเดือนผมก็ไม่พอจะโปะแล้ว
ถ้าใครเจอสถานการณ์นี้คุณต้องรีบเลยนะครับ รีบอะไรน่ะหรือ ?

รีบพัฒนาตนเองยังไงล่ะ เช่น หาอาชีพเสริมทำ ประหยัดมากขึ้น หรือพัฒนาความรู้และผลงานเพื่อที่จะมีโอกาสขึ้นเงินเดือนสูงขึ้น ซึ่งล้วนแล้วสามารถสร้างชีวิตที่ดีขึ้นกับเราได้ทั้งนั้น แต่ทั้งนี้มันขึ้นอยู่กับตัวเราเองว่าประหยัดขึ้น VS พัฒนาตนเอง แบบไหนเราถนัดกว่ากัน

มาเข้าเรื่องการโปะ !! ด้วยตัวอย่างเดิมบ้าน 2 ลบ. ดอกเบี้ย 6%ต่อปี ระยะเวลากู้ 30 ปี
แต่เราโปะเข้าไปอีกเป็นเดือนละ 12,991 บาท (เพิ่มขึ้นอีกเดือนละ 1,000 บาท)
ผลที่ตามมา คือ
1. คุณจะมีภาระผ่อนเหลือเพียง 25 ปีกว่าๆเท่านั้น
2. ใน 25 ปีกว่าๆนั้นเราจะเสียเงินค่าผ่อนบ้านไปทั้งสิ้น = 3,975,246 บาท
ประหยัดกว่าผ่อน 30 ปีถึง 341,514 บาทเลยทีเดียว สุดยอดมั๊ยล่ะ !!!

เห็นมั๊ยแค่เพิ่มการผ่อนอีกเดือนละ 1,000 บาทก็สามารถร่นระยะเวลาผ่อนเหลือ 25 ปีกว่าๆเท่านั้น
แถมประหยัดค่าผ่อนไปอีกหลายแสนบาทเลยทีเดียว นั่นก็เพราะ 1,000 บาทที่เราโปะเข้าไปนั้นเราจ่ายเป็นเงินต้นล้วนๆนั่นเอง

ไหนเราลองมาโปะเพิ่มอีกสัก 1,000 บาท เป็นผ่อนเดือนละ 13,991 บาท
ผลที่ตามมา คือ
1. คุณจะมีภาระผ่อนเหลือเพียง 22 ปีเท่านั้น
2. ใน 22 ปีนี้เราจะเสียเงินค่าผ่อนบ้านไปทั้งสิ้น = 3,693,624 บาท
ประหยัดกว่าตอนผ่อน 25 ปีถึง 281,622 บาท
และประหยัดกว่าตอนผ่อน 30 ปีถึง 623,136 บาท สุดยอดดด !!!

ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เงินเดือนหรือเจ้าของกิจการเล็กๆก็ตามที่กำลังผ่อนบ้านอยู่ลองเจียดเงินเล็กน้อยในแต่ละเดือนมาโปะค่าผ่อนบ้านกันเถอะครับ ชีวิตคุณจะดีขึ้นอีกเยอะเลยครับ

แถมการคิดแบบละเอียดแบบเปรียบเทียบ
แบบ A ผ่อนเดือนละ 11,991 บาท 30 ปี
แบบ B ผ่อนเดือนละ 13,991 บาท 22 ปี
มันประหยัดตรงไหน ?

แบบ A เสียค่าผ่อนบ้านตลอด 30 ปีทั้งสิ้น 4,316,760 บาท
แบบ B เสียค่าผ่อนบ้านตลอด 22 ปีทั้งสิ้น 3,693,624 บาท
   - แบบ B เราโปะเพิ่ม 2,000 บาทตลอด 22 ปีรวมเป็นเงินที่เสียเพิ่มเข้าไป 528,000 บาท และเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินต้นล้วนๆที่รวมอยู่ใน 3,693,624 บาทแล้วนั่นเอง ยิ่งเงินต้นลดลงดอกเบี้ยก็ลดลงเรื่อยๆ ระยะเวลาผ่อนก็ลดลงเช่นกัน